All my Jacks

All my Jacks

วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557

ชวนคนรักสุนัข มารู้จักใบเพ็ดดีกรีให้มากขึ้น บทความโดย: Dogilike.com

ชวนคนรักสุนัข มารู้จักใบเพ็ดดีกรีให้มากขึ้น 
บทความโดย: Dogilike.com
http://www.dogilike.com/content/caring/1296/

ทำไมถึงต้องพาสุนัขไปจดใบเพ็ดดีกรี และใบเพ็ดดีกรีมีประโยชน์อย่างไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง ตามไปหาคำตอบกัน
เวลาที่เราจะเลือกลูกสุนัขมาเลี้ยงสักตัว ลูกสุนัขที่เราอยากได้ก็จะต้องมีคุณสมบัติครบตามที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสายพันธุ์ รูปร่าง ลักษณะ อุปนิสัย รวมไปถึงสุขภาพที่แข็งแรง ... แต่คำถามก็คือ เราจะสามารถรู้ได้ยังไงว่าลูกสุนัขที่เรากำลังจะซื้อนั้นมีคุณสมบัติตรงตามที่เราต้องการหรือไม่?
คุณสมบัติบางอย่างเราสามารถสังเกตได้เอง เช่น รูปร่าง ลักษณะ พฤติกรรม ความร่าเริง ฯ ซึ่งเราสามารถหาข้อมูลคร่าวๆ และสังเกตดูลักษณะทางกายภาพและพฤติกรรมของลูกสุนัขได้ แต่คุณสมบัติเหล่านี้ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อลูกสุนัขโตขึ้น
แต่เรื่องของที่มาสายพันธุ์นั้นบางครั้งผู้ซื้อเองก็ไม่สามารถทราบได้ว่าสุนัขตัวที่เรากำลังจะนำมาเลี้ยงนั้นจะเป็นสุนัขที่ตรงตามสายพันธุ์ที่เราต้องการหรือเปล่า เพราะบางทีด้วยความที่เป็นลูกสุนัข บางครั้งอาจจะสังเกตได้ยากว่าเป็นพันธุ์อะไร นอกจากนี้ยังมีสุนัขหลายพันธุ์ที่มีลักษณะทางกายภาพคล้ายกัน
... เอ แล้วแบบนี้จะมีอะไรเป็นตัวช่วยที่จะบอกถึงข้อมูลของสุนัขที่เราจะนำมาเลี้ยงได้บ้างนะ?
สิ่งที่จะเป็นตัวช่วยให้ทั้งผู้เลี้ยงสุนัขอย่างเราๆ ทราบถึงที่มาที่ไปของสุนัขที่เราจะนำมาเลี้ยงได้ก็คือ ใบเพ็ดดีกรี ( pedigree) หรือ ใบประวัติ ค่ะ
ใบเพ็ดดีกรีคืออะไร?
ใบเพ็ดดิกรี หรือใบรับรองพันธุ์ประวัติ (Certificate Pedigree) จะบอกถึงบรรพบุรุษ (พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด) ซึ่งแสดงถึงคุณภาพของลูกสุนัข ที่ได้รับการถ่ายทอดพันธุกรรม ลักษณะเด่น ด้อย มาจากบรรพบุรุษมากน้อยเพียงใด โดยจะมีตั้งแต่ 3 ช่วงอายุ จนถึง 5 ช่วงอายุ ดังนั้นใบเพ็ดดีกรีจึงสามารถบอกถึงสายเลือดหรือสายพันธุ์ของสุนัขตัวนั้นได้
หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าการที่สุนัขมีใบเพ็ดดีกรี จะหมายความสุนัขตัวนั้นเป็นพันธุ์แท้ แต่ในความเป็นจริงแล้วการที่สุนัขมีใบเพ็ดดีกรี ไม่ได้แปลว่าเป็นพันธุ์แท้เสมอไปค่ะ เพราะใบเพ็ดดีกรีเป็นใบที่จะบอกถึงที่มาที่ไปของสุขนัขตัวหนึ่งเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าจะเป็นสายพันธุ์แท้หรือไม่แท้ ต้องพิจารณจากประวัติบรรพบุรุษของสุนัขตัวนั้นค่ะ
ทำไมต้องสุนัขของเราต้องมีใบเพ็ดดีกรี?
ใบเพ็ดดีกรีสำคัญมากสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาสายพันธุ์สุนัขหรือต้องการสุนัขสายพันธุ์ดี เพราะใบเพ็ดดีกรีจะเป็นสิ่งบอกเราได้ว่าสุนัขตัวนี้เป็นลูกสุนัขที่เกิดจากพ่อแม่ตัวไหน เกิดจากากรผสมแบบใด (ผสมสาย
เลือดชิด การผสมในสายเลือด หรือการผสมข้ามสายเลือด) เราสามารถศึกษาถึงลักษณะเด่นและลักษณะด้อยของสุนัขแต่ละตัวที่สามารถถ่ายทอดให้ลูกหลานผ่านใบเพ็ดดีกรีที่มีการบันทึกรายละเอียดต่างๆ ไว้
ใบเพ็ดดีกรีมีประโยชน์อะไรกับสุนัขของเรา?
- ใบเพ็ดดีกรีจะมีประโยชน์มาก สำหรับการศึกษาที่มาที่ไปของสายพันธุ์ของสุนัขที่เราจะเลี้ยง ทำให้เราทราบถึงลักษณะเด่นลักษณะด้อยของสุนัขได้โดยระเอียด รวมไปถึงโรคต่างพันธุกรรมต่างๆ ที่อาจถูกถ่ายทอดมาทางสายเลือดด้วย
- ใบเพ็ดดีกรีจะมีประโยชน์ในการเลือกคู่ให้สุนัขของเรา ทำให้เราสามารถเลือกสุนัขพ่อพันธุ์หรือแม่พันธุ์ที่จะมาผสมพันธุ์กับสุนัขของเราได้อย่างเหมาะสม
- ใบเพ็ดดีกรีเป็นตัวช่วยในการพิสูจน์ความสามารถในการถ่ายทอดสายเลือดของพ่อพันธุ์แม่พันธุ์
- ใบเพ็ดดีกรีจะช่วยป้องกันการผสมพันธุ์ที่เสี่ยงต่อการทำลายสายพันธุ์หรือการเสื่อมของสายเลือด เช่น ช่วยป้องกันการผสมพันธุ์กับคู่ที่มีสายเลือดเดียวกัน หรือสายเลือดชิดกัน ซึ่งจะส่งผลต่อลูกสุนัขที่เกิดมาทำให้สายพันธุ์ไม่พัฒนา เกิดลักษณะด้อย ฯ
- ใบเพ็ดดีกรีจะเป็นสิ่งที่การันตีถึงความสามารถและความตั้งใจของผู้ผสมพันธุ์(BREEDER)
รู้จักใบเพ็ดดีกรีให้มากขึ้น!
ใบเพ็ดดีกรีจะแบ่งออกเป็น 3 ชนิดค่ะ คือ ...
1. UNCERTIFIED PEDIGREE เพ็ดดีกรีประเภทนี้เป็นเพ็ดดีกรีที่ผู้ผสมพันธุ์(BREEDER) เป็นผู้ออกให้ผู้ซื้อ ทราบที่มาของบรรพบุรุษของสุนัขตัวนั้นๆ โดยเพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นการรับรองกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงเพื่อการรับรองโดยสมาคมฯได้
2. CERTIFIED PEDIGREE เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นเพ็ดดีกรีที่ออกโดยสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข( ประเทศไทย) ซึ่งเป็นที่ยอมรับจากบรรดาสมาชิกทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเพ็ดดีกรีชนิดนี้ เป็นการรับรองระหว่างสมาคมฯกับสมาชิก นอกจากนี้เพ็ดดีกรีชนิดนี้ทางสมาคมฯได้แบ่งแยกออกเป็น 2 ประเภทคือ
2.1 COMPLETE PEDIGREE หรือที่หลายๆท่านเรียกว่า เพ็ดดีกรีเต็มใบ เพ็ดดีกรีชนิดนี้จะระบุบรรพบุรุษของสุนัขทั้งสายพ่อและสายแม่ เต็ม 3 ช่วงอายุ ขณะนี้ทางสมาคมฯได้ใช้เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นสี ม่วงอ่อนและมีสัญญลักษณ์ของสมาคมฯ, A.K.U. และ F.C.I.อยู่ในเพ็ดดีกรี



2.2 INCOMPLETE PEDIGREE หรือ UNCOMPLETE PEDIGREE หรือที่หลายๆท่านเรียกว่า เพ็ดดีกรีครึ่งใบ เพ็ดดีกรีชนิดนี้จะระบุบรรพบุรุษของสุนัขที่เป็นสายพ่อสายแม่ไม่ครบ 3 ช่วงอายุ หรือสายพ่อครบ 3 ช่วงอายุแต่สายแม่ไม่ครบ 3 ช่วงอายุ หรือสายพ่อไม่ครบ 3ช่วงอายุแต่สายแม่ครบ 3 ช่วงอายุ โดยทางสมาคมฯ จะใช้เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นสี เขียวอ่อน และมีเพียงสัญญลักษณ์ของสมาคมฯ อยู่ในเพ็ดดีกรีเพียงอย่างเดียว
3.CERTIFIED EXPORT PEDIGREE เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นเพ็ดดีกรีที่ทางสมาคมฯ ออกให้ เพื่อการส่งออกสุนัขไปยังต่างประเทศ (สุนัขที่มีบรรพบุรุษไม่ครบ 3 ช่วงอายุทางสมาคมฯ จะไม่ออกให้) โดยเพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นการรับรองระหว่างสมาคมฯ (ในประเทศ)ต่อสมาคมฯ (ต่างประเทศ) ซึ่งสมาคมทั้งสองต้องเป็นสมาชิกร่วมองค์กรเช่น F.C.I หรือ A.K.U. หรือต่างองค์กรกันแต่มีศักยภาพ เช่น A.K.C.,K.U.,A.N.K.C. เป็นต้น แต่ในบางประเทศเช่น A.K.C.,A.N.K.C. ใช้CERTIFIED PEDIGREEและ EXPORT PEDIGREE เป็นใบเดียวกัน
ถ้าอยากขอจดใบเพ็ดดีกรีให้สุนัขต้องทำยังไง?
ในการขอจดใบเพ็ดดีกรีนั้นจะต้องแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ กรณีที่เป็นผู้เพาะพันธุ์ และ กรณีเป็นผู้ซื้อลูกสุนัข
กรณีที่คุณเป็นผู้เพาะพันธุ์
ขั้นที่ 1. คุณต้องเป็นสมาชิกของสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข (ประเทศไทย) เสียก่อน โดยจะเสียค่าสมัครปีละ 200 บาท โดยใช้สำเนาบัตรประชาชน พร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องเป็นหลักฐานการสมัคร
ขั้นที่ 2. ต้องดูว่าแม่พันธุ์ของคุณเคยจดทะเบียนหรือมีใบเพ็ดดีกรี แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่มีอะไรเลยคุณสามารถจดทะเบียนตัวให้กับสุนัขแม่พันธุ์แบบ No Record ได้ แต่ในกรณีนี้ในใบเพ็ดดีกรีจะปรากฏเฉพาะชื่อ
แม่พันธุ์ของคุณ อย่างเดียวไม่มีชื่อพ่อแม่หรือปู่ย่าตาทวด (ให้ท่านนำสุขไปฝังไมโครชิพ ถ่ายรูปหน้าตรง และด้านข้างของสุนัขตัวนั้น แล้วนำสุนัขของท่านพร้อมรูปถ่ายไปติดต่อที่สมาคมฯ) ถ้าสุนัขมีใบเพ็ดดีกรีที่ออกโดยสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข (ประเทศไทย) อยู่แล้ว และได้ทำการโอนสุนัขตัวนั้นเป็นของคุณเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถทำขั้นต่อไปได้เลย ถ้าท่านนำสุนัขมาจากต่างประเทศ และมีใบเพ็ดดีกรี ประเภท Export
และเป็น Pedigree ที่ได้รับการรับรองจาก FCI ก็นำมาจดทะเบียนได้เลยเช่นเดียวกัน
ขั้นที่ 3. นำสุนัขไปผสมพันธุ์ กับตัวผู้ ตัวผู้จะต้องเป็นสุนัขที่มีการขึ้นทะเบียนกับทางสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข (ประเทศไทย) เช่นกัน และต้องตรวจสอบว่าสุนัขตัวนั้นเป็นของเจ้าของคนที่ท่าติดต่อขอผสมจริงหรือไม่ เพราะการผสมจะต้องมีการลงนามในเอกสารการแจ้งผสมทั้งเจ้าของตัวผู้และตัวเมีย (ทุกครั้งที่มีการผสมจะต้องนำแบบฟอร์มใบแจ้งผสมไปให้เจ้าของตัวผู้กรอกข้อมูลสุนัขตัวผู้ และลงชื่อรับรองการผสม สามารถโหลดแบบฟอร์มนี้ได้ที่ http://www.kcthailand.com)


ขั้นที่ 4. เจ้าของตัวเมียก็ทำการกรอกข้อมูลขอท่าน และสุขตัวเมียของท่าน และลงชื่อเช่นกัน
ขั้นที่ 5. เสร็จแล้วก็นำแบบฟอร์มไปยื่นกับสมาคมฯ ตามขั้นตอนและเงื่อนเวลาดังนี้
1. ต้องแจ้งผสมพันธุ์ภายใน 45 วัน หลังจากวันผสม
2. ต้องแจ้งเกิดลูกสุนัข และตั้งชื่อลูกสุนัขภายใน 90 วัน หลังลูกสุนัขคลอด (โดยเสียค่าใช้จ่ายต่อตัวละ 50 บาท)
3. รับใบรับรองทะเบียนตัวสุนัข (REGISTRATION CERTIFICATE) (โดยเสียค่าใช้จ่ายต่อตัวละ 100 บาท)
5. หากเจ้าของสุนัขต้องการใบรับรองพันธุ์ประวัติ (CERTIFIED PEDIGREE) ให้แจ้งความประสงค์ กับทางสมาคมฯ โดยกรอกแบบฟอร์มคำร้องขอ Pedigree โดยเสียค่าใช้จ่ายดังนี้
แบบ 3 ชั่วอายุ ตัวละ 100 บาท
แบบ 4 ชั่วอายุ ตัวละ 150 บาท
แบบ Export ตัวละ 500 บาท(กรณีนี้สุนัขต้องมีการฝังไมโครชิพด้วย)
กรณีที่คุณเป็นผู้ซื้อลูกสุนัข


ขั้นที่ 1. คุณต้องเป็นสมาชิกของสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข (ประเทศไทย) เสียก่อน โดยจะเสียค่าสมัครปีละ 200 บาท โดยใช้สำเนาบัตรประชาชน พร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องเป็นหลักฐานการสมัคร
ขั้นที่ 2. ให้นำใบ REGISTARTION CERTIFICATE (ใบทะเบียนตัว) ที่ผู้ขายจะต้องให้มา และจะต้องมีการเซ็นสลักหลังการโอนเปลี่ยนเจ้าของด้วย ในที่นี้ทางสมาคมจะคิดค่าใช้จ่ายในการโอนตัวละ 100 บาท
Dogilike.com :: ชวนคนรักสุนัข มารู้จักใบเพ็ดดีกรีให้มากขึ้น
เวลาที่เราจะเลือกลูกสุนัขมาเลี้ยงสักตัว ลูกสุนัขที่เราอยากได้ก็จะต้องมีคุณสมบัติครบตามที่เราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสายพันธุ์ รูปร่าง ลักษณะ อุปนิสัย รวมไปถึงสุขภาพที่แข็งแรง ... แต่คำถามก็คือ เราจะสามารถรู้ได้ยังไงว่าลูกสุนัขที่เรากำลังจะซื้อนั้นมีคุณสมบัติตรงตามที่เราต้องการหรือไม่?
คุณสมบัติบางอย่างเราสามารถสังเกตได้เอง เช่น รูปร่าง ลักษณะ พฤติกรรม ความร่าเริง ฯ ซึ่งเราสามารถหาข้อมูลคร่าวๆ และสังเกตดูลักษณะทางกายภาพและพฤติกรรมของลูกสุนัขได้ แต่คุณสมบัติเหล่านี้ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อลูกสุนัขโตขึ้น
แต่เรื่องของที่มาสายพันธุ์นั้นบางครั้งผู้ซื้อเองก็ไม่สามารถทราบได้ว่าสุนัขตัวที่เรากำลังจะนำมาเลี้ยงนั้นจะเป็นสุนัขที่ตรงตามสายพันธุ์ที่เราต้องการหรือเปล่า เพราะบางทีด้วยความที่เป็นลูกสุนัข บางครั้งอาจจะสังเกตได้ยากว่าเป็นพันธุ์อะไร นอกจากนี้ยังมีสุนัขหลายพันธุ์ที่มีลักษณะทางกายภาพคล้ายกัน
... เอ แล้วแบบนี้จะมีอะไรเป็นตัวช่วยที่จะบอกถึงข้อมูลของสุนัขที่เราจะนำมาเลี้ยงได้บ้างนะ?
สิ่งที่จะเป็นตัวช่วยให้ทั้งผู้เลี้ยงสุนัขอย่างเราๆ ทราบถึงที่มาที่ไปของสุนัขที่เราจะนำมาเลี้ยงได้ก็คือ ใบเพ็ดดีกรี ( pedigree) หรือ ใบประวัติ ค่ะ
Dogilike.com :: ชวนคนรักสุนัข มารู้จักใบเพ็ดดีกรีให้มากขึ้น
ใบเพ็ดดีกรีคืออะไร?
ใบเพ็ดดิกรี หรือใบรับรองพันธุ์ประวัติ (Certificate Pedigree) จะบอกถึงบรรพบุรุษ (พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทวด) ซึ่งแสดงถึงคุณภาพของลูกสุนัข ที่ได้รับการถ่ายทอดพันธุกรรม ลักษณะเด่น ด้อย มาจากบรรพบุรุษมากน้อยเพียงใด โดยจะมีตั้งแต่ 3 ช่วงอายุ จนถึง 5 ช่วงอายุ ดังนั้นใบเพ็ดดีกรีจึงสามารถบอกถึงสายเลือดหรือสายพันธุ์ของสุนัขตัวนั้นได้
หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าการที่สุนัขมีใบเพ็ดดีกรี จะหมายความสุนัขตัวนั้นเป็นพันธุ์แท้ แต่ในความเป็นจริงแล้วการที่สุนัขมีใบเพ็ดดีกรี ไม่ได้แปลว่าเป็นพันธุ์แท้เสมอไปค่ะ เพราะใบเพ็ดดีกรีเป็นใบที่จะบอกถึงที่มาที่ไปของสุขนัขตัวหนึ่งเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าจะเป็นสายพันธุ์แท้หรือไม่แท้ ต้องพิจารณจากประวัติบรรพบุรุษของสุนัขตัวนั้นค่ะ
ทำไมต้องสุนัขของเราต้องมีใบเพ็ดดีกรี?
ใบเพ็ดดีกรีสำคัญมากสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาสายพันธุ์สุนัขหรือต้องการสุนัขสายพันธุ์ดี เพราะใบเพ็ดดีกรีจะเป็นสิ่งบอกเราได้ว่าสุนัขตัวนี้เป็นลูกสุนัขที่เกิดจากพ่อแม่ตัวไหน เกิดจากากรผสมแบบใด (ผสมสาย
เลือดชิด การผสมในสายเลือด หรือการผสมข้ามสายเลือด) เราสามารถศึกษาถึงลักษณะเด่นและลักษณะด้อยของสุนัขแต่ละตัวที่สามารถถ่ายทอดให้ลูกหลานผ่านใบเพ็ดดีกรีที่มีการบันทึกรายละเอียดต่างๆ ไว้
Dogilike.com :: ชวนคนรักสุนัข มารู้จักใบเพ็ดดีกรีให้มากขึ้น
ใบเพ็ดดีกรีมีประโยชน์อะไรกับสุนัขของเรา?
- ใบเพ็ดดีกรีจะมีประโยชน์มาก สำหรับการศึกษาที่มาที่ไปของสายพันธุ์ของสุนัขที่เราจะเลี้ยง ทำให้เราทราบถึงลักษณะเด่นลักษณะด้อยของสุนัขได้โดยระเอียด รวมไปถึงโรคต่างพันธุกรรมต่างๆ ที่อาจถูกถ่ายทอดมาทางสายเลือดด้วย
- ใบเพ็ดดีกรีจะมีประโยชน์ในการเลือกคู่ให้สุนัขของเรา ทำให้เราสามารถเลือกสุนัขพ่อพันธุ์หรือแม่พันธุ์ที่จะมาผสมพันธุ์กับสุนัขของเราได้อย่างเหมาะสม
- ใบเพ็ดดีกรีเป็นตัวช่วยในการพิสูจน์ความสามารถในการถ่ายทอดสายเลือดของพ่อพันธุ์แม่พันธุ์
- ใบเพ็ดดีกรีจะช่วยป้องกันการผสมพันธุ์ที่เสี่ยงต่อการทำลายสายพันธุ์หรือการเสื่อมของสายเลือด เช่น ช่วยป้องกันการผสมพันธุ์กับคู่ที่มีสายเลือดเดียวกัน หรือสายเลือดชิดกัน ซึ่งจะส่งผลต่อลูกสุนัขที่เกิดมาทำให้สายพันธุ์ไม่พัฒนา เกิดลักษณะด้อย ฯ
- ใบเพ็ดดีกรีจะเป็นสิ่งที่การันตีถึงความสามารถและความตั้งใจของผู้ผสมพันธุ์(BREEDER)
รู้จักใบเพ็ดดีกรีให้มากขึ้น!
ใบเพ็ดดีกรีจะแบ่งออกเป็น 3 ชนิดค่ะ คือ ...
1. UNCERTIFIED PEDIGREE เพ็ดดีกรีประเภทนี้เป็นเพ็ดดีกรีที่ผู้ผสมพันธุ์(BREEDER) เป็นผู้ออกให้ผู้ซื้อ ทราบที่มาของบรรพบุรุษของสุนัขตัวนั้นๆ โดยเพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นการรับรองกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายเท่านั้น ไม่สามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงเพื่อการรับรองโดยสมาคมฯได้
2. CERTIFIED PEDIGREE เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นเพ็ดดีกรีที่ออกโดยสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข( ประเทศไทย) ซึ่งเป็นที่ยอมรับจากบรรดาสมาชิกทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเพ็ดดีกรีชนิดนี้ เป็นการรับรองระหว่างสมาคมฯกับสมาชิก นอกจากนี้เพ็ดดีกรีชนิดนี้ทางสมาคมฯได้แบ่งแยกออกเป็น 2 ประเภทคือ
2.1 COMPLETE PEDIGREE หรือที่หลายๆท่านเรียกว่า เพ็ดดีกรีเต็มใบ เพ็ดดีกรีชนิดนี้จะระบุบรรพบุรุษของสุนัขทั้งสายพ่อและสายแม่ เต็ม 3 ช่วงอายุ ขณะนี้ทางสมาคมฯได้ใช้เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นสี ม่วงอ่อนและมีสัญญลักษณ์ของสมาคมฯ, A.K.U. และ F.C.I.อยู่ในเพ็ดดีกรี
Dogilike.com :: ชวนคนรักสุนัข มารู้จักใบเพ็ดดีกรีให้มากขึ้น
2.2 INCOMPLETE PEDIGREE หรือ UNCOMPLETE PEDIGREE หรือที่หลายๆท่านเรียกว่า เพ็ดดีกรีครึ่งใบ เพ็ดดีกรีชนิดนี้จะระบุบรรพบุรุษของสุนัขที่เป็นสายพ่อสายแม่ไม่ครบ 3 ช่วงอายุ หรือสายพ่อครบ 3 ช่วงอายุแต่สายแม่ไม่ครบ 3 ช่วงอายุ หรือสายพ่อไม่ครบ 3ช่วงอายุแต่สายแม่ครบ 3 ช่วงอายุ โดยทางสมาคมฯ จะใช้เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นสี เขียวอ่อน และมีเพียงสัญญลักษณ์ของสมาคมฯ อยู่ในเพ็ดดีกรีเพียงอย่างเดียว
3.CERTIFIED EXPORT PEDIGREE เพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นเพ็ดดีกรีที่ทางสมาคมฯ ออกให้ เพื่อการส่งออกสุนัขไปยังต่างประเทศ (สุนัขที่มีบรรพบุรุษไม่ครบ 3 ช่วงอายุทางสมาคมฯ จะไม่ออกให้) โดยเพ็ดดีกรีชนิดนี้เป็นการรับรองระหว่างสมาคมฯ (ในประเทศ)ต่อสมาคมฯ (ต่างประเทศ) ซึ่งสมาคมทั้งสองต้องเป็นสมาชิกร่วมองค์กรเช่น F.C.I หรือ A.K.U. หรือต่างองค์กรกันแต่มีศักยภาพ เช่น A.K.C.,K.U.,A.N.K.C. เป็นต้น แต่ในบางประเทศเช่น A.K.C.,A.N.K.C. ใช้CERTIFIED PEDIGREEและ EXPORT PEDIGREE เป็นใบเดียวกัน
ถ้าอยากขอจดใบเพ็ดดีกรีให้สุนัขต้องทำยังไง?
ในการขอจดใบเพ็ดดีกรีนั้นจะต้องแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ กรณีที่เป็นผู้เพาะพันธุ์ และ กรณีเป็นผู้ซื้อลูกสุนัข
กรณีที่คุณเป็นผู้เพาะพันธุ์
ขั้นที่ 1. คุณต้องเป็นสมาชิกของสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข (ประเทศไทย) เสียก่อน โดยจะเสียค่าสมัครปีละ 200 บาท โดยใช้สำเนาบัตรประชาชน พร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องเป็นหลักฐานการสมัคร
ขั้นที่ 2. ต้องดูว่าแม่พันธุ์ของคุณเคยจดทะเบียนหรือมีใบเพ็ดดีกรี แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่มีอะไรเลยคุณสามารถจดทะเบียนตัวให้กับสุนัขแม่พันธุ์แบบ No Record ได้ แต่ในกรณีนี้ในใบเพ็ดดีกรีจะปรากฏเฉพาะชื่อ
แม่พันธุ์ของคุณ อย่างเดียวไม่มีชื่อพ่อแม่หรือปู่ย่าตาทวด (ให้ท่านนำสุขไปฝังไมโครชิพ ถ่ายรูปหน้าตรง และด้านข้างของสุนัขตัวนั้น แล้วนำสุนัขของท่านพร้อมรูปถ่ายไปติดต่อที่สมาคมฯ) ถ้าสุนัขมีใบเพ็ดดีกรีที่ออกโดยสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข (ประเทศไทย) อยู่แล้ว และได้ทำการโอนสุนัขตัวนั้นเป็นของคุณเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถทำขั้นต่อไปได้เลย ถ้าท่านนำสุนัขมาจากต่างประเทศ และมีใบเพ็ดดีกรี ประเภท Export
และเป็น Pedigree ที่ได้รับการรับรองจาก FCI ก็นำมาจดทะเบียนได้เลยเช่นเดียวกัน
ขั้นที่ 3. นำสุนัขไปผสมพันธุ์ กับตัวผู้ ตัวผู้จะต้องเป็นสุนัขที่มีการขึ้นทะเบียนกับทางสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข (ประเทศไทย) เช่นกัน และต้องตรวจสอบว่าสุนัขตัวนั้นเป็นของเจ้าของคนที่ท่าติดต่อขอผสมจริงหรือไม่ เพราะการผสมจะต้องมีการลงนามในเอกสารการแจ้งผสมทั้งเจ้าของตัวผู้และตัวเมีย (ทุกครั้งที่มีการผสมจะต้องนำแบบฟอร์มใบแจ้งผสมไปให้เจ้าของตัวผู้กรอกข้อมูลสุนัขตัวผู้ และลงชื่อรับรองการผสม สามารถโหลดแบบฟอร์มนี้ได้ที่ http://www.kcthailand.com)
Dogilike.com :: ชวนคนรักสุนัข มารู้จักใบเพ็ดดีกรีให้มากขึ้น
ขั้นที่ 4. เจ้าของตัวเมียก็ทำการกรอกข้อมูลขอท่าน และสุขตัวเมียของท่าน และลงชื่อเช่นกัน
ขั้นที่ 5. เสร็จแล้วก็นำแบบฟอร์มไปยื่นกับสมาคมฯ ตามขั้นตอนและเงื่อนเวลาดังนี้
1. ต้องแจ้งผสมพันธุ์ภายใน 45 วัน หลังจากวันผสม
2. ต้องแจ้งเกิดลูกสุนัข และตั้งชื่อลูกสุนัขภายใน 90 วัน หลังลูกสุนัขคลอด (โดยเสียค่าใช้จ่ายต่อตัวละ 50 บาท)
3. รับใบรับรองทะเบียนตัวสุนัข (REGISTRATION CERTIFICATE) (โดยเสียค่าใช้จ่ายต่อตัวละ 100 บาท)
5. หากเจ้าของสุนัขต้องการใบรับรองพันธุ์ประวัติ (CERTIFIED PEDIGREE) ให้แจ้งความประสงค์ กับทางสมาคมฯ โดยกรอกแบบฟอร์มคำร้องขอ Pedigree โดยเสียค่าใช้จ่ายดังนี้
แบบ 3 ชั่วอายุ ตัวละ 100 บาท
แบบ 4 ชั่วอายุ ตัวละ 150 บาท
แบบ Export ตัวละ 500 บาท(กรณีนี้สุนัขต้องมีการฝังไมโครชิพด้วย)
กรณีที่คุณเป็นผู้ซื้อลูกสุนัข
Dogilike.com :: ชวนคนรักสุนัข มารู้จักใบเพ็ดดีกรีให้มากขึ้น
ขั้นที่ 1. คุณต้องเป็นสมาชิกของสมาคมพัฒนาพันธุ์สุนัข (ประเทศไทย) เสียก่อน โดยจะเสียค่าสมัครปีละ 200 บาท โดยใช้สำเนาบัตรประชาชน พร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้องเป็นหลักฐานการสมัคร
ขั้นที่ 2. ให้นำใบ REGISTARTION CERTIFICATE (ใบทะเบียนตัว) ที่ผู้ขายจะต้องให้มา และจะต้องมีการเซ็นสลักหลังการโอนเปลี่ยนเจ้าของด้วย ในที่นี้ทางสมาคมจะคิดค่าใช้จ่ายในการโอนตัวละ 100 บาท
Dogilike.com :: ชวนคนรักสุนัข มารู้จักใบเพ็ดดีกรีให้มากขึ้น
สิ่งที่เราควรระวังในการขอจดใบเพ็ดดีกรี!!!!
ของก๊อปปี้เป็นสิ่งที่อยู่คู่โลกใบนี้ค่ะ มนุษย์อย่างเราๆ ยังโดน ปลอมบัตรประชาชน ปลอมพาสปอร์ต สำหรับแวดวงน้องหมาเองก็มีผู้ไม่ประสงค์ดีแอบทำใบเพ็ดดีกรีปลอมเหมือนกันค่ะ ใบเพ็ดดิกรีปลอมจะเป็นอุปสรรค์ในผสมพันธุ์สุนัข เพราะเราไม่รู้สายพันธุ์ว่ามาจากพ่อ-แม่ ซึ่งในการศึกษาลักษณะเด่นของพ่อพันธุ์เพื่อมาแก้ไขลักษณะด้อยของแม่พันธุ์ เพื่อถ่ายถอดลักษณะที่ดีมาสู่ลูกสุนัข บางครั้งจำเป็นต้องศึกษาพันธุ์ประวัติประกอบกันด้วย
ในการปลอมใบเพ็ดดีกรีจะมีลักษณะการปลอมแปลงอยู่ 2 แบบ คือ ...
1. ใบเพ็ดดิกรี ที่ทำขึ้นมาเอง หรือทำเลียนแบบ พิมพ์ขึ้นมาเอง โดยไม่ได้รับการรับรองจากสมาคมต่างๆ เช่น ใบเพ็ดดิกรีที่ออกให้โดยทางร้านขายสุนัข, ออกให้โดยฟาร์มสุนัข เป็นต้น
2. ใบเพ็ดดิกรี ที่สวมลอย คือ การนำเอาใบเพ็ดดิกรีที่ได้รับการรับรองมาให้ แต่สุนัขไม่ได้เกิดจากพ่อแม่พันธุ์ที่ระบุไว้ในใบเพ็ดฯ ดังนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการปลอมหรือหลอกลวง ซึ่งในการที่เราจะตรวจสอบว่า
ข้อมูลตรงกับความเป็นจริงหรือไม่นั้น ทำได้ด้วยการตรวจสอบทำได้โดยการตรวจ DNA พ่อ-แม่ มาเทียบกับลูก ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมาก
. เป็นอีกเรื่องที่ผู้เลี้ยงต้องทำการศึกษาให้ดีเลยนะคะ เพราะมีข้อมูลที่สำคัญอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ใบเพ็ดดิกรีจะสำคัญหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าเรานำไปใช้ประโยชน์อะไรค่ะ เช่น ต้องการผสมและพัฒนาสายพันธุ์สุนัขเพื่อประกวด หรือเป็นพ่อพันธุ์ - แม่พันธุ์ที่ดี , ต้องการเลี้ยงสุนัขพันธุ์แท้ที่มีคุณสมบัติถูกต้องครบถ้วนตามมาตรฐานสายพันธุ์ หรือบางคนอาจจะเพียงแค่ต้องการรู้ที่มาที่ไปของสุนัขที่ตัวเองเลี้ยงเท่านั้น สรุปแล้วก็คือขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของผู้เลี้ยงและความพึงพอใจเท่านั้นเองค่ะ
บทความโดย: Dogilike.com

วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

คู่มือการดูแลสุนัขเบื้องต้น


ข้อมูลทั้งหมดรวบรวมมาจาก อ.น้ำฝน แห่ง Patamawee Farm, คุณตั้ม Chokdee Chihuahua-Pompom, พี่อ๋อย OIL’S POMERANIANS”, คุณปิยนุช Piyanuch Chaiterayanon และพี่หญิงแห่งบ้านโยจา จีจี้ ยูจิ ผมขอขอบคุณที่เอื้อเฟื้อข้อมูลดีๆมีประโยชน์ และขออนุญาตแบ่งปันให้กับเพื่อนๆที่รักสุนัขทุกคนด้วยนะครับ


http://www.one2up.com/view_content.php?content_ID=710580



วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2557

ใบประวัติพันธุ์ (Pedigree)

Pedigree (ใบรับรองสายพันธุ์สุนัข) คือ เอกสารที่มาแห่งตระกูลของสุนัขพันธุ์เพื่อเป็นหลักฐาน โดยแสดงไว้ 3 ชั่วอายุเป็นอย่างน้อย
ใบพันธุ์ประวัติเป็นเอกสารประจำตัวสุนัขแสดงถึงแผนภูมิของบรรพบุรุษที่ถ่ายทอดมาสู่ตัวสุนัขให้ทราบถึงลักษณะทางพันธุ์กรรมของบรรพบุรุษจากชั่วอายุหนึ่งไปถึงอีกชั่วอายุหนึ่ง ซึ่งสามารถสืบสายตระกูลของมันได้  สามารถบอกถึงการถ่ายทอดสายเลือดที่ดีและเลวปนออกมาจะปรากฏแสดงออกทั้งภายนอกที่อาจจะเห็นได้ เด่นชัด และภายในที่ไม่อาจเห็นได้นอกจากการแสดงออกมาในลักษณะต่างๆ กันของตัวสุนัขนั้นๆ  ตามช่วงเวลาต่างๆ กัน

ใบประวัติพันธุ์ในประเทศไทยมีทั้งหมด 3 แบบ

1. ใบพันธุ์ประวัติสีชมพู   คือ  ใบประวัติของสุนัขที่เกิดจากพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ที่ผ่านการรับรองการสอบคัดพันธุ์แล้วเท่านั้น  (สุนัขที่ผ่านการคัดพันธุ์จะเป็นสุนัขที่มีองค์ประกอบต่าง ๆ ครบถ้วนและสมบูรณ์แบบ อาทิเช่น จิตประสาทปกติ,การต่อสู้ที่ดี,ข้อเสียรุนแรงไม่มี   มีองค์ประกอบที่สำคัญเช่นฟัน,อัณฑะถูกต้องครบถ้วนและมีลักษณะโครงสร้างในส่วนต่าง ๆ ที่ดี การเดิน การวิ่งปกติและผ่านการสอบเป็นสุนัขอารักขามาแล้ว)  มีบรรพบุรุษครบ  30 ตัวในใบประวัติพันธุ์

2. ใบพันธุ์ประวัติสีขาว  คือใบพันธุ์ประวัติของสุนัขที่เกิดจากพ่อและแม่สุนัข ที่มีเอกสารการรับรองพันธุ์ประวัติสมบูรณ์คือ มีสายเลือดของบรรพบุรุษครบทั้ง30ตัวในใบพันประวัติ(กล่าวคือ ตัวพ่อและตัวแม่ไม่ได้รับการรับรองการคัดพันธุ์ให้เป็นพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ ซึ่งจะเป็นเพียงพ่อและแม่สุนัขธรรมดาเท่านั้น

3. ใบพันธุ์ประวัติสีเขียว
คือ  ใบพันธุ์ประวัติของสุนัขที่มีบรรพบุรุษในสายพ่อและสายแม่ที่ไม่มีเอกสารการรับรองพันธุ์ หรือไม่มีหลักฐานปรากฏเกิดขึ้นในบางช่วงของทางสายพ่อหรือสายแม่ก็ตาม ซึ่งถือว่าไม่ครบจำนวน30ตัวในใบพันธุ์ประวัติ (ในใบพันธุ์ประวัติชนิดนี้จะใช้ในระยะเริ่มแรกเท่านั้น) ใบพันธุ์ประวัติจะบ่งบอกถึงสุนัขตัวนั้นๆ ทั้งหมดคือชื่อ.ชื่อคอกของผู้ผสมพันธุ์และชื่อผู้ผสมพันธุ์ เพศฯ.ลักษณะขน.สีและลวดลาย.และลักษณะพิเศษอื่นๆ.เบอร์หู.วันเดือนปีเกิด.ทะเบียนประจำตัวสุนัข.ทะเบียนไมโครชิพบรรพบุรุษร่วมในการผสมพันธุ์.ชื่อและจำนวนพี่น้องร่วมครอก.ภูมิหลังจากการเกิดมีการตายและเหลือจำนวนเท่าไร.ตำแหน่งผลการประกวดที่เคยได้รับสูงสุด ใบพันธุ์ประวัติจะมีประโยชน์อย่างอื่นๆเช่น วางแผนการผสมพันธุ์ที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นหัวใจและหลักการของผู้ผสมพันธุ์  แบ่งเกรดของสุนัข ราคาของสุนัข คุณภาพของสุนัข รู้ข้อดีและข้อเสีย(จุดเด่นจุดด้อย)ของบรรพบุรุษที่จะถ่ายทอดมายังตัวลูกสุนัขนั้นๆ การx-ray โรคข้อสะโพกห่าง(สำหรับสุนัขใช้งาน)


Pedigree. ,มีไว้เพื่อประโยชน์ในการศึกษาที่มาแห่งสายพันธุ์สุนัข ว่ามาจากสมาคม หรือชมรมใดเพื่อประโยชน์ในการเลือกคู่ให้สุนัขเพื่อพิสูจน์ความสามารถในการถ่ายทอดสายเลือดของพ่อ-แม่พันธุ์ เพื่อป้องกันการผสมพันธุ์ที่เสี่ยงต่อการทำลายพันธุ์ หรือการเสื่อมของสายเลือดเพื่อพิสูจน์ความสามารถและความตั้งใจของผู้ผสมพันธุ์

วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557

การผสมพันธุ์สุนัข BREEDING แบ่งเป็น 3 ลักษณะ

-การผสมแบบเลือดชิด (INBREEDING)
-การผสมแบบข้ามสายเลือด (OUTCROSSING)
-การผสมแบบรักษาสายเลือด (LINE BREEDING)

1. การผสมแบบเลือดชิด (INBREEDING) คือการผสมกันระหว่างญาติที่ใกล้ชิดกันมากที่สุด หรือสายเลือด เดียวกัน เช่นพ่อกับลูก แม่กับลูก พี่กับน้อง เป็นต้น วิธีการนี้ ถือว่าเป็นวิธีการหนึ่งที่มีปฎิบัติกันในการเพาะพันธุ์สุนัขตั้งแต่ในอดีตมา จนถึงปัจจุบัน เพื่อวัตถุประสงค์ให้ได้มาซึ่งลูกสุนัขที่น่าจะมีโอกาสมีคุณลักษณะที่เหมือน กับพ่อหรือแม่ตัวใดตัวหนึ่งมากที่สุด ตามที่ตั้งความหวังเอาไว้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องไม่มีข้อบกพร่องร้ายแรงทั้งสองฝ่าย และยังคงสมควรอย่างยิ่งที่ จะต้องมีจุดเด่นที่ถูกต้องและเป็นที่ต้องการสำหรับมาตรฐานพันธุ์จริง ๆ อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีพ่อพันธุ์ สุนัขที่ยอดเยี่ยมทั้งด้านผลงาน และ ผลการให้ลูกที่ดีเลิศโดย ลูก ๆ ของมันสามารถได้รูปลักษณ์เหมือนพ่อ เกือบทุกตัว และแต่ละตัวยังสร้างผลงานได้อย่างพ่อ ซึ่งทำให้เกิดความคิดที่อยากจะได้ลูกสักตัวหนึ่งที่สุดยอด เหมือนกับพ่อเก่งตัวนั้น และวิธีที่จะให้ได้มาก็จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากการคัดลูกสาวของมันเอง แต่มีข้อ แม้ว่าตัวแม่ของลูกตัวนี้ต้องเป็นแม่พันธุ์ที่เรียกว่าสุด ๆ ไม่แพ้พ่อของมันทีเดียว พอได้ลูกสาวตัวนี้มาเมื่อมา ผสมแบบเลือดชิดกับพ่อของมันแล้ว ทีนี้ก็มาตั้งความหวังกันได้แล้วว่า ลูกสุนัขที่จะเกิดมาจะมีโอกาสเหมือนกับ ผู้ที่เป็นทั้งปู่และพ่อของพวกมันหรือไม่ ซึ่งต้องอาศัยโชคร่วมด้วยเพราะการวางแผนที่ดีเลิศเพียงใดก็ไม่อาจ สำเร็จได้หากไม่มีเทพีแห่งโชคร่วมทางไปด้วย อาจกล่าวได้ว่า วิธีนี้เป็นการเพิ่มสิ่งที่ดีที่สุดยอดให้เพิ่มเป็นทวีคูณ แต่มันก็เป็นเสมือนดาบสองคม วิธีการที่ว่ามานี้อาจจะกลายเป็นการเพิ่มสิ่งที่แย่ที่สุดได้เพิ่มเป็นทวี คูณก็ได้ หาก ผู้ปฎิบัติไม่มีความรู้ความชำนาญดีพอและผลร้ายที่จะเกิดจากการผสมแบบเลือด ชิดที่ ปรากฎให้เห็นในลูกสุนัข คือเพดานโหว่ โลหิตจาง แคระแกร็น โรคฮิป ฯลฯ ดังนั้นวิธีการนี้จึงไม่สมควรที่พวกมือใหม่จะเลือกใช้ ควร ปล่อยให้เป็นงานของผู้ที่มีประสบการณ์ และมีความรับผิดชอบสูงจะดีกว่า และก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องประสบความสำเร็จเสมอไปด้วย ดังจะเห็นว่า บรรดาพ่อพันธุ์ดัง ๆ ในปัจจุบันก็ไม่ได้เกิดจากวิธีนี้

2. การผสมแบบข้ามสายเลือด (OUTCROSSING) คือการผสมกันระหว่างสัตว์สองตัวที่มีสายพันธุ์เดียวกัน แต่ไม่ผูกพันกันเลยในสายเลือด คือ ย้อนกลับไปสี่รุ่นของบรรพบุรุษของทั้งคู่ไม่มีความเกี่ยวข้องทางเครือญาติ กันเลย วิธีนี้ผมถือว่าเป็นวิธีที่เซฟ และ ปลอดภัยที่สุด
ที่เลือกปฎิบัติกันก็เพราะ ความต้องการที่จะนำเอาส่วนที่ดีของอีกสายเลือดหนึ่งมาเสริมให้กับอีก สายเลือดดีอีกสายหนึ่งที่ยังขาดอยู่ในส่วนนั้นเท่านั้น เช่น ถ้าหากสุนัขของเรามีคุณภาพได้มาตรฐานดีอยู่แล้ว และเกิดจากการ LINEBREED มาตลอด แต่หากเราเห็นว่าสุนัขในอีกสายเลือดหนึ่งมีลักษณะโครงสร้างที่เรา ชอบ เช่น การมีโครงกระดูกที่ใหญ่กว่า หัวกะโหลกที่มีสัดส่วนจัดว่าดีเลิศตามแบบฉบับที่เราชอบมาก กว่าในสุนัขของเราอีก หรือแม้แต่สีที่เราพอใจกว่า เราก็สามารถจะจับมา CROSS กับสายของเราก็ได้ แต่สุนัข ตัวดังกล่าวต้องมาจากการผสมแบบ LINEBREED หรือแม้แต่ INBREED อย่างมีคุณภาพเหมือนกับของ เรา อย่างนึ้จุงจะพอตั้งความหวังว่าอาจมีโอกาสได้ในสิ่งที่ปรารถนาได้ แต่จะให้ได้ผลดีจริงต้องสืบถึงเทือกเขา เหล่ากอให้รู้แจ้งก่อน เพราะโอกาสที่เราอาจจะไปรับเอาจุดด้อยแฝง

3.การผสมแบบรักษาสายเลือด (LINE BREEDING) คือการผสมพันธุ์ระหว่างเครือญาติไม่ใ่ช่สายตรง เช่นอา น้า ป้า ลุง กับหลาน หรือลูกพี่ลูกน้อง รวมไปถึงพี่กับน้องร่วมเฉพาะพ่อหรือแม่เดียวกันด้วยไปแบ่งเป็นสองแบบคือ Thight line breeding กับ Loose line breeding อย่างแรกคือเครือญาติใกล้ชิดมากกว่าแบบหลัง แต่อย่าลืมว่าการผสมพันธุ์ทั้งสองแบบนี้ จะต้องควบคุมอย่างใกล้ชิด เหมือนเป็นดาบสองคม เพราะข้อดีคือมีโอกาสถ่ายลักษณะดีของพ่อ แม่พันธุ์ มากกว่าครอสบรีด แต่ก็จะถ่ายทอดโรคทางพันธุกรรม และข้อด้อยประจำสายได้มากกว่า คือตัวที่ได้รับยีนที่ดีจากทั้งพ่อแม่มา ก็จะดีมากไปเลยถ้าไม่มีโรคทางพันธุกรรม ตัวที่แย่ก็อาจจะแย่ไปเลยก็ได้ หรืออาจมีความพิการแต่กำเนิดหรือโรคทางพันธุกรรม

ข้อดีของไลน์ บรีดดิ้งคือถ้าในชนิดสัตว์ที่มีผลกระทบจากการผสมเลือดชิดง่าย เช่นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์เลี้ยงทั่วไป หรือแม้แต่สัตว์ที่อาจมียีนส์ผิดปกติแฝงอยู่การเกิดความผิดปกติจะเกิดน้อยลง
ข้อดีของอินบรีดดิ้งคือได้ความสม่ำเสมอของรุ่นลูกที่เกิดขึ้น รักษาลักษณะที่ดีๆในฝูงสัตว์นั้นให้คงอยู่
ข้อ เสียมีคล้ายกันคือ เกิดความผิดปกติในสัตว์ที่มียีนส์ที่ผิดปกติ หรือความแข็งแรงต้านทานโรคลดลง มากน้อยขึ้นกับชนิดของสัตว์ด้วย โอกาสที่จะเกิดของ การอินบรีดจะมีอัตราเกิดสูงกว่าไลน์บรีดเป็นอย่างมาก

วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

ถ้าผมจะเปิดรับผสมแจ็ครัสเซลให้ลูกค้า

1.พ่อพันธ์ค่าผสม 2000 บาท แต่ถ้าสัญญาว่าจะไม่ตัดหางลูกหมาทุกตัวที่เกิดมา จะลดพิเศษ ให้ 500 บาทครับ 

2.รับประกันผสมจนกว่าจะติด ถ้าไม่ติดเอามาผสมใหม่ได้จนกว่าจะได้ลูก ไม่มีค่าใช่จ่ายเพิ่ม

3.รับฝากแม่พันธ์ที่มาผสม พร้อมน้ำ+อาหารฟรี จนกว่าเจ้าของจะมารับกลับ

4.ถ่ายรูปตอนผสมให้เป็นหลักฐาน

5.ช่วยโปรโมทในเฟส JACK KHON NIM และแนะนำลูกค้าที่กำลังหาซื้อลูกหมา เพื่อช่วยขายอีกทางหนึ่ง

6.ให้คำแนะนำในการดูแลแม่พันธ์หลังจากที่ผสมไปแล้ว

7.ให้ส่วนลด 500 บาทถ้าซื้อลูกหมาจากคอก JackKhonNim เมือใดก็ได้ครับ

วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

รายละเอียดการรับประกันความพอใจ และคืนเงินเต็มจำนวนภายใน 1 ปีนับจากวันที่ซื้อ แบบง่ายๆ

ใบรับประกันความพอใจ 1 ปีพร้อมประวัติสายเลือด+ใบฉีดวัคซีน+คู่มือการดูแลสุนัขเบื้องต้น ที่พร้อมส่งให้ลูกค้า



มีลูกค้าท่านหนึ่งถามผมว่า การรับประกันความพอใจ และคืนเงินเต็มจำนวนภายใน 1 ปีนับจากวันที่ซื้อ มีรายละเอียดยังไงบ้าง....

ผมขออธิบายง่ายๆแบบนี้นะครับ..ปกติค่าใช้จ่ายในการซื้อลูกหมาทั่วๆไปจะแบ่งเป็น

1.ค่าตัวลูกหมาที่ตั้งไว้ จะขึ้นกับปัจจัยหลายๆอย่างเช่น สายเลือด โครงสร้าง มาร์คกิ้ง ความน่าเชื่อถือของฟาร์ม
2.ค่าจัดส่งทางเครื่องบินหรือรถไฟ ในกรณีมารับเองก็จะไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ครับ 

ส่วนมากจะแยกกันแต่บางครั้งราคาอาจจะรวมส่งแล้วก็ได้ ถ้าอยู่บริเวณใกล้กัน

ทีนี้ เมื่อเอาทั้งหมดรวมกันก็จะเป็นค่าตัวลูกหมาที่ต้องจ่าย ยกตัวอย่างจากที่ผมเคยขายไปนะครับ ค่าตัวลูกหมาตั้งไว้ที่ 4500 บาท+ค่าใช้จ่ายส่งไปกรุงเทพลงที่ดอนเมืองประมาณ 1200 บาท แยกเป็น ค่าBOX +ขวดน้ำ +ค่าเครื่องบิน แต่ถ้าอยู่ใกล้กันสามรถมารับเองจะดีกว่า จะได้พูดคุย ทำความรู้จักกัน ดูพ่อแม่พันธ์ที่คอก ก่อนตัดสินใจ ผมจะช่วยค่าน้ำมันให้ครับ....

รวมราคาพร้อมส่งแล้วก็ 5700 บาท ซึ่งราคาสุดท้ายที่จ่ายจริงจะเหลือเท่าไหร่อยู่ที่การพูดคุยและความพอใจของทั้ง 2 ฝ่ายครับ เมื่อตกลงราคาแล้วจะไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆเพิ่มอีก ผมจะลงรายละเอียดลงไปในใบรับประกัน พร้อมประวัติสายเลือดเท่าที่จะหาได้มากที่สุด ปริ้นสี เคลือบพลาสติกกันน้ำอย่างดี มีรายละเอียดต่างๆของลูกสุนัขเท่าที่พอจะหาได้ เช่น วัน เดือน ปี เกิด เพศ สีขน ตำแหน่งมาร์คกิ้ง ชื่อและรูปถ่าย ของพ่อ แม่ ปู่ ย่า ชื่อและที่อยู่ของเจ้าของใหม่ ราคาที่ซื้อและระบุวันที่สิ้นสุดการรับประกัน ภายในระยะเวลา 1 ปีนับจากวันที่ซื้อ หากทดลองเลี้ยงแล้วไม่ถูกใจ คุณภาพไม่ได้ตามที่ต้องการ หรือไม่สามารถดูแล เลี้ยงดูลูกสุนัขต่อไปได้ ผู้ซื้อสามารถใช้ใบรับประกันนี้ขอคืนลูกสุนัขในสภาพสมบูรณ์ แข็งแรง ไม่เป็นโรคติดต่อ พิการ ผิดปกติ เพื่อขอรับเงินคืนเต็มจำนวน 100% ตามที่ได้ระบุไว้ในใบรับประกันเท่านั้น ส่งไปพร้อมกันวันที่ส่งให้เจ้าของใหม่+ใบรับรองการฉีดวัคซีนป้องกันโรค+คู่มือการดูแลสุนัขเบื้องต้น สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่เคยเลี้ยงจะได้ไม่ทำผิดพลาดครับ

*ค่าใช่จ่ายในการส่งลูกสุนัขกลับมาทางเครื่องบินหรือรถไฟ ให้ผู้ซื้อเป็นคนรับผิดชอบค่าใช่จ่ายทั้งหมด

เพราะฉะนั้นเงินทุกบาทที่ลูกค้าจ่ายไปในการซื้อหมาจากผมจะยังมีค่าครบ สามารถขอคืนเงินได้ตลอดเวลา 1 ปีถ้าไม่พอใจและอยู่ในเงื่อนไขที่รับประกันครับ

วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

แจ็คหูตั้ง แก้ยังไง

สำหรับเพื่อนๆที่มีเลี้ยงแจ็คอาจจะเคยเจอปัญหาเรื่องลูกหมาหูตั้ง ผมขออนุญาติแชร์บทความของคุณ Piyanuch Chaiterayanon นะครับเพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์ มีภาพประกอบเข้าใจง่าย ทำตามไม่ยากครับ

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=siblawmorcy&month=06-2010&date=26&group=4&gblog=3

+++ ถ่วงหู หมานอนมา กลัวหูเบา +++ 

ที่ทำบล็อคถ่วงหูน้องหมาก็หวังว่าจะมีประโยชน์กับ คนที่เลี้ยงแจ็คบ้างนะคะ (จากที่ศึกษามา มีแต่ วิธีที่เป็นตัวอักษร แต่ไม่มีภาพปลากรอบ )

เริ่มสังเกตุมาแต่วันแรก ที่รับ นอนมา มา หูมันเหิน แบบถ้าเผลอ อาจจะกลายเป็นชื่อ บินมา 

เลยทำการถ่วงหรือดามหู มันซะก่อน ก่อนจะกลายเป็นหมา อินเทรน นะคะ

เริ่มแรก ก็ เตรียมอุปกรณ์ (ที่เหลือตั้งแต่สมัย สองเด้ง)

1. เหรียญ ถ้าหมาขนาดธรรมดา ก็ ใช้เหรียญบาท เด้งก็ใช้เหรียญบาท แต่ นอนมา มันตัวเล็กมาก เลยใช้ แค่ เหรียญ สลึง

2. กรรไกร

3. เทปติดผ้าก๊อตแบบ เหนียวโคดๆ แนะนำ สีตามภาพ คือ สี น้ำตาล มันเหนียวโคดๆ ย้ำ 

Photobucket

วิธีทำ

1. ติดเทปเหนียว ครอบเหรียญ และ ตัดขอบให้เหลือ ประมาณ ครึ่งเซน 

2. เอามาติดที่ด้านในหู เอานิ้วกรีดๆ เพื่อให้เทปติดกับใบหู แต่ แค่นี้ไม่พอ ดู ข้อ 3

Photobucket

3. ตัด เทปเหนียว ยาวประมาณ นิ้วครึ่ง เอามาพาด ดามเหรียญไว้ตรงกลาง ตามภาพเลย งานนี้ รับรอง ไม่หลุดแล้ว ทั้งเกา ทั้งสบัด ก็ไม่หลุด 

Photobucket

เอาภาพ ที่ติดกับไม่ติดมาเปรียบเทียบกัน หูด้านดำสนิท จะ ดาม อีกข้าง ไม่ได้ดามค่ะ

Photobucket

Photobucket

นอกจาก วิธีดามแล้ว ต้องเสนอ วิธีเอาออกด้วย ส่วนใหญ่ จะดามไว้ สองวัน และ ปล่อย อิสระ หนึ่งวัน

ตามรูป ดามไว้ สองวัน ดำโพดๆ 

Photobucket

มาดูวิธีเอาออกเลย ง่ายนิดเดียว เตรียม สำลีแผ่น กะ เบบี้ออย 

Photobucket

หยดเบบี้ออย บนสำลี เอาสำลี ทาบบนเทปน้ำตาล ที่ดามหูไว้ ให้ เบบี้ออยซึมเข้าไป แล้วค่อยๆ สกิด ถูๆ ไถๆ จน เทปหลุด น้องหมาไม่เจ็บหูด้วยค่ะ สังเกตุ หุไม่แดงเลย 

Photobucket

หวังว่า จะเป็นประโยชน์บ้างนะคร้า